Menu

ความทรงจำ .. ที่ยังชัดเจน ..

วันพุธ 29 เมษายน, 2015 - เรื่องสั้น ..
ความทรงจำ .. ที่ยังชัดเจน ..

memory-01

แดดอ่อนๆ กำลังสาดสีทองของแสงสุดท้ายแห่งวัน ระยิบระยับทาทาบทับไปบนผิวน้ำในทะสาปประจำหมู่บ้าน ระลอกคลื่นต่างออกมาเต้นระริ้วพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดเอื่อยๆ ราวกับกำลังล้อหลอกหยอกเย้ากับเจ้าแมลงปอตัวน้อยที่ถลาร่อนลงแตะผิวน้ำครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนบางครั้งผมก็อยากจะถามเจ้าตัวจ้อยปีกบางเหล่านั้นว่า “เจ้าเคยเหนื่อยบ้างไหมนะ .. กับการบินร่อนไปมา .. เพื่อตามหาอะไรสักอย่าง?”

ภาพของคนหนุ่มสาวที่ควงคู่กันออกไปปั่นเรือถีบรูปทรงห่านฟ้าลำเล็กที่มีพื้นที่เฉพาะแค่สองคน ปั่นกันไปคุยกันไปกระหนุงกระหนิงตามประสาคนมีความรักที่อยากใช้เวลาร่วมกันโดยไม่ต้องมีใครมากวนใจอยู่ใกล้ๆ อาหารปลาห่อใหญ่ที่ซื้อมาจากบนฝั่งกำลังถูกโปรยจากมือทั้งสองที่เกาะกุมกันอย่างอบอุ่น เสียงฮุบน้ำดังจ๋อมแจ๋มของเหล่าปลานิลปลาตะเพียนที่ออกมาร่วมวงบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นรอบๆ ลำเรือแห่งความรักช่วยทำให้มื้อนี้ไม่ต้องมีน้ำตาลมาเติมเพิ่มกันแต่อย่างใดเลยทีเดียว

ต้นไผ่กอใหญ่สูงชะลูดที่แตกกิ่งก้านผลิใบคมกริบกำลังเอนพริ้วปลิวไสวตามกระแสลมที่พัดเอื่อยๆ ต่างก็พร้อมใจกันกรีดใบบรรเลงเสียงเพลงแห่งสนธยาราวกับว่ากำลังพร่างพรมนิ้วอย่างลื่นไหลไปบนฟิงเกอร์บอร์ดของไวโอลินชั้นดีที่สร้างสรรค์บทเพลงโดยนักดนตรีที่ชื่อว่า”ธรรมชาติ”

ผมมีโอกาสได้นั่งชื่นชมกับธรรมชาติที่สวยงามเช่นนี้อยู่ทุกวัน เพราะเป็นสมาชิกวีไอพีของหมู่บ้านนี้ที่ลูกชายซื้อทิ้งเอาไว้ให้ผมได้ใช้ชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณอย่างมีความสุขในสังคมที่อบอุ่นเอื้ออาทรและไว้ใจได้ในความปลอดภัย ก็แน่ล่ะบ้านแต่ละหลังที่นี่ราคาเกือบยี่สิบล้านบนเนื้อที่แต่ละแปลงที่มีขนาดกว่าสองงาน ก็คงไม่น่าแปลกใจใช่ไหมครับที่ผมจะมีทะเลสาปส่วนตัวที่มองเห็นได้จากสนามหญ้าหลังบ้านเอาไว้ให้ได้ซึมซับบรรยากาศแห่งยามเย็นได้อย่างสบายอารมณ์เช่นนี้

อย่าเพิ่งอิจฉาผมกันเลยครับ อ่านเรื่องของผมจบแล้วคุณอาจไม่อยากเป็นผมก็ได้นะครับ

มันไม่ใช่เงินของผมหรอกนะครับที่ซื้อบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ลำพังเงินเดือนครูประชาบาลแค่เดือนละไม่กี่สตางค์คงไม่มีปัญญาหรอกครับ อาศัยว่าเจ้าลูกชายคนเดียวของผมนั้นเค้าทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ และนั่นก็เลยพอจะมีกำรี้กำไรเป็นกอบเป็นกำเอามาซื้อบ้านเอาไว้ให้พ่อแก่ๆ อย่างผมได้อยู่สุขสบายในยามเกษียณราชการกับเค้าบ้าง

memory-02

ผมกับลูกอยู่กันแค่สองคนเพราะแม่ของเค้ากันแยกทางกับผมไปตั้งแต่เค้าเพิ่งจะได้สักขวบนึงล่ะมั๊ง ผมเองก็ไม่ได้คิดจะหาแม่ใหม่ให้เค้าหรอก เพราะการที่มีเค้าก็นับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้วนี่ครับ มาจนวันนี้เค้าเติบใหญ่กลายเป็นเสาหลักคอยค้ำยันเสาไม้เก่าๆ ที่เคยกล้าแกร่งยืนท้าฝ่าแดดลมฝนมาจนเริ่มผุพังให้ยังคงยืนอยู่จนได้เห็นโลกยุคใหม่ในทุกวันนี้ จากการงานหน้าที่อันมีภาระรับผิดชอบสูงมากของเค้าทำให้เราสองคนพ่อลูกมีเวลาคุยกันน้อยลงติดต่อกันน้อยลง เพราะเค้าต้องเดินทางไปมาระหว่างประเทศต่างๆ ในหลายทวีปทั่วโลก

ผมเข้าใจเค้าดี ไม่เคยเรียกร้องให้มาหาเพราะไม่อยากจะรบกวนเวลาทำงานของเค้า ..

แม้จะคิดถึงภาพเก่าในอดีตที่เจ้าตัวน้อยเคยวิ่งขึ้นบันไดเสียงตึงตังรีบมานอนกลิ้งเกลือกเอาขาก่ายกันหลับไปทุกคืนเพราะกลัวพ่อจะหายไป เสียงโหวกเหวกตั้งแต่เช้ามืดของผมที่ตะโกนปลุกเค้าให้รีบลุกขึ้นมาอย่างยากเย็นเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ในขณะที่มือทั้งสองข้างของผมก็กำลังตระเตรียมอาหารเช้าให้พร้อม

แล้วสองพ่อลูกก็บิดมอเตอร์ไซค์คันเก่าคร่ำออกไปกระทำภารกิจของตัวเอง ผ่านสองข้างทางที่ชีวิตของคนบ้านนอกในแต่ละวันได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับแสงแดดอ่อนสอดส่องแยงตาจนต้องหรี่ตาแทบมองไม่เห็นทาง เคยกลิ้งตกข้างทางทั้งพ่อทั้งลูกลงไปในทุ่งนาที่รวงข้าวสีทองสวยกำลังชูช่อปลิวไสวจนเมล็ดข้าวเปลือกในรวงกระจายเกลื่อน ได้แผลกันไปคนละสอง-สามแผลกว่าจะไปถึงโรงเรียนประจำอำเภอได้อย่างทุลักทุเล นึกถึงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกทีสิน่า

ภาพแห่งรอยยิ้มที่ฟันหน้าทั้งสองซี่หายไปยังคงติดตาผมไม่เคยลืมเลือน ครั้งนั้นมีอยู่วันนึงเค้าวิ่งเข้ามาหาผมอย่างหน้าตาตื่นแล้วแบมือเล็กๆ ออกมาโดยกลางฝ่ามือน้อยๆ นั้นมีฟันซี่เล็กที่เพิ่งหลุดออกมา แล้วเค้าก็บอกผมว่า ..

“หนูเอาลิ้นดุนเล่นไปมามันก็หลุดออกมาเลยครับป๊ะป๋า .. แล้วมันจะงอกมาใหม่หรือเปล่าครับ? .. แล้วเลือดหนูจะไหลจนหมดตัวหรือเปล่าครับ? .. แล้ว .. แล้ว .. แล้ว …..”

คำถามมากมายที่พรั่งพรูออกมาจากเด็กชายวัยเพียงแค่ย่างสี่ขวบ ทำเอาผมซึ่งเป็นพ่อตามตอบให้ไม่ทันจริงๆ ก็เลยได้แต่บอกว่า ..

“เดี๋ยวเราเอาฟันของหนูไปโยนขึ้นหลังคากันนะ โยนขึ้นไปสูงๆ ฟันจะได้ขึ้นเร็วๆ “ ..

“แล้วทำไมต้องโยนขึ้นไปบนหลังคาด้วยล่ะครับ? .. แล้วทำไมโยนขึ้นไปสูงๆ มันถึงขึ้นเร็วล่ะครับ?” ..

ผมได้แต่อมยิ้มกับความไร้เดียงสาของเจ้าตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความช่างสงสัย ซึ่งบางคำถามก็ไม่รู้จะอธิบายให้เค้าเข้าใจได้อย่างไร

memory-03

ความทรงจำในวันที่ก้าวแรกของเค้าได้เริ่มนับหนึ่ง ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้งหลายครา กว่าเค้าจะโผเข้ามาหาผมที่ยืนรอประคองเค้าอยู่จนได้ วันที่ผมพาเค้าออกไปหัดเดิน ผมเดินถอยหลังแล้วจับสองแขนเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยผิวขาวหน้ากลมๆ ใส่เสื้อกล้ามสีเหลืองอ่อนกับผ้าอ้อมลายการ์ตูนผืนใหญ่ ใส่ร้องเท้าสีแดงคู่เล็กที่ส่งเสียงดังปี๊ดๆ ทุกครั้งที่เท้าเล็กๆ เหยียบลงไป เพื่อช่วยพยุงให้เค้าได้เดินเตาะแตะๆ อยู่หน้าบ้านของเรา ..

ภาพของการไปโรงเรียนวันแรกที่ผมนั่งสอนเค้าผูกเชือกรองเท้า ซึ่งเค้าเองก็พยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที จนสุดท้ายผมต้องเข้าไปผูกให้จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนสายและผมก็จะได้ไม่ต้องไปสอนหนังสือสายเช่นกัน เค้าไม่เคยร้องไห้หรือเกลียดกลัวกับการไปโรงเรียนเพราะเค้าคุ้นเคยกับการไปโรงเรียนกับผมตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ เค้าชอบที่จะอยู่คอยที่โรงเรียนในเวลาที่ผมต้องอยู่เวรหรือตรวจการบ้านเด็กเพราะเค้าจะได้มีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนานจนค่ำมืดลืมหิวลืมกินกันทั้งพ่อทั้งลูกซะทุกทีไป

เสียงท่องสูตรคูณดังเจื้อยแจ้วแว่วมาทุกวันตอนเย็นๆ แบบนี้ เคล้ากับเสียงดังฉ่าๆ จากน้ำมันที่กำลังเดือดพล่านของปลาช่อนแห้งทอดที่ผมเพิ่งโยนลงไปในกระทะก้นดำเมี่ยงจากควันไฟร้อนระอุของเตาถ่านที่อยู่ด้านในสุดของตัวบ้าน ร่วมกับแกงเขียวหวานไก่ใส่มะเขือถุงใหญ่ที่ซื้อเหมาส่วนที่เหลือติดก้นหม้อมาจากแม่ค้าขายกับข้าวในตลาดเอามาเทใส่หม้อใบเล็กเพื่ออุ่นให้ร้อนซึ่งขณะนี้ก็กำลังเดือดปุดๆ อยู่เช่นกัน และทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นอาหารมื้อเย็นของเราสองพ่อลูก กินกับข้าวสวยร้อนๆ ที่กำลังระอุพ่นควันหอมฉุยจนฝาหมอหุงข้าวกระพือจากไอน้ำที่พวยพุ่งดันขึ้นมาจนดังโคล้งเคล้ง มันเป็นภาพชีวิตประจำวันของเราสองพ่อลูกที่ไม่ว่าจะหลับตานึกถึงขึ้นมาครั้งใดก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับเพิ่งจะผ่านไปเมื่อวานนี้นี่เอง

ก็อาจจะมีสักวันนึงนะที่เค้าอาจจะต้องมาคอยตอบคำถามที่ผมคอยถามย้ำซ้ำๆ อยู่เรื่อยเพียงเพราะผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าผมถามไปหรือยัง? ..

อาจจะมีสักวันที่เค้าอาจจะต้องสอนให้ผมใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เค้าซื้อให้เพียงเพราะผมไม่สามารถจะเข้าใจวิธีการใช้งานที่ซับซ้อนเกินไปของมันได้ ..

อาจจะมีสักวันที่เค้าอาจจะต้องใส่รองเท้าให้ผมเพียงเพราะผมไม่สามารถจะใช้มือเหี่ยวย่นคู่นี้ผูกเชือกรองเท้าได้อีกต่อไป ..

หรืออาจจะมีสักวันที่เค้าอาจจะต้องให้ผมเกาะไหล่เพื่อพยุงให้ขาทั้งสองข้างที่อ่อนแรงเต็มทีของผมได้ก้าวเดินไปพร้อมกับเค้าอีกครั้ง ..

memory-04

แต่ทั้งหมดนั้นคงไม่อาจจะเป็นได้ .. ถ้าเจ้าตัวเล็กของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ..!!!

และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด หรือเค้าจะโตขึ้นสักแค่ไหน อย่างไรเสียเค้าก็ยังเป็นเจ้าเด็กน้อยแสนซนคนเดิมของผมอยู่เสมอ

พรุ่งนี้แล้วสินะที่ผมจะได้เจอเค้าอีกครั้ง จากหลายเดือนก่อนที่เค้าไปติดต่อธุรกิจกับบริษัทใหญ่ในยุโรปเพื่อทำโครงการที่เพิ่งประมูลได้จากส่วนราชการหนึ่งแล้วขาดการติดต่อกับผมนับจากนั้น

สองมือของผมยังกำหนังสือพิมพ์เล่มเก่าในมือแน่นจนยับยู่ยี่ กัดฟันจนกรามเป็นสันนูนขึ้นมา น้ำตาไหลพรากอาบแก้มเหี่ยวย่น กับหัวใจของผู้เป็นพ่อที่แตกสลายลงไป กับพาดหัวข่าวเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ MH17 ถูกยิงตกที่ยูเครน ผู้โดยสารทั้ง 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด

เจ้าหน้าที่จากสถานฑูตโทรมาเมื่อหลายวันก่อนเพื่อแจ้งหมายกำหนดการการส่งศพลูกชายผมที่เป็นหนึ่งในผู้โดยสารของสายการบินมรณะเที่ยวนั้นกลับจากประเทศเนเธอร์แลนด์ให้ผมทราบ

แม้บ้านผมจะหลังใหญ่สักเพียงใด แต่มันก็เป็นบ้านที่ไม่มีคนที่เรารักอยู่ด้วยอีกแล้ว มันจะหาความสุขได้จากไหนกันละครับ ผมยังคงเฝ้ารอเสียงโทรศัพท์โดยหวังว่ามันจะดังขึ้นและเสียงจากปลายสายจะเป็นเจ้าของเสียงที่ผมอยากได้ยิน ..

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ .. แต่ผมก็ยังอยากจะให้ปาฏิหารย์มีจริงสักครั้ง ..

 

 

– – –  น า ย เ ม ษ า  – – –

พุธ 29 เมษายน 2558 เวลา 23:46 น.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

Free Web Hosting